วัดม่วง
แห่งเมืองอ่างทอง
ประวัติความเป็นมา วัดม่วง
เดิมทีวัดม่วงเป็นวัดร้าง
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ ณ. แขวงเมืองวิเศษชาญ
ซึ่งเคยได้เป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐
กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงให้แก่พม่า พม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม และพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ คือ ซากปรักหักพังของวัดวาอาราม และพระพุทธรูป
ที่อยู่บนเนินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
ท่านพระคูวิบูลอาจารคุณ ( หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ )
ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้าง จึงน่าปฏิบัติธรรม
แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิต เห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง
มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี
ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย
ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว
และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว
และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ
ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว
และหลวงปู่แดง จนถึงปัจจุบันนี้
ในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ
ได้มีการเริ่มบูรณะและได้สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้น โดยได้รับการบริจาค
ทั้งเงินทำบุญ และทำบุญด้วยแรงงาน ร่วมกันดำเนินงานในการก่อสร้าง
จนกระทั้งวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มีการประกาศยกฐานะให้วัดม่วง
ซึ่งเคยเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์
เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
ได้มีการแต่งตั้งท่านพระครูวิบูลอาจารคุณเป็นเจ้าอาวาสวัดม่วง ต.หัวตะพาน
อ.วิเศษชัยชาญ จ. อ่างทอง
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรี
ได้ทรงพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดม่วง เป็นต้นมา
ในปีพ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านพระวิบูลอาจารคุณ
ได้ร่วมพลังจิตอธิฐาน ร่วมกับประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ
ได้สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อน้อมถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ และราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า
พระพุทธมหานมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ มีหน้าตักกว้าง ๖๒ ม. สูง ๙๓ ม.
มูลค่าในการก่อสร้าง ๑๐๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ( หนึ่งร้อยหกล้านบาท )
เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ (
วันแรม ๑ ค่ำา เดือน ๔ ) ปีมะเมีย เวลา ๙.๐๐ น. ได้วางศิลาฤกษ์
โดยสมเด็จพระโฆษาจารย์ วัดสุวรรณดาราม กทม. เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
และพระครูวิบูลอาจารคุณ (หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) เป็นประธานฝ่ายดำเนินการก่อสร้าง
และหาทุน และให้กฤษ์การก่อสร้างได้ดำเนินมา จนสำเร็จใน ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ (
วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ) รวมเป็นเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น ๑๖ ปี นับตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๕๐
ปัจจุบันวัดม่วงแห่งนี้
มีเนื้อที่ทั้งหมด ๗๒ ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าว ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ
ได้ซื้อรวบรวมได้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ โดยวัตถุประสงค์ เพื่อทำโครงการ ดังต่อไปนี้
-
สถานที่ศึกษาพระธรรม พระพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรม สำหรับ พระภิกษุสงฆ์
และประชาชน
-
สร้างโรงพยาบาลสงฆ์
-
ศูนย์จำหน่ายสินค้าศิลปาชีพในโครงการหลวง
- แหล่งท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา แก่ชาวไทย
และชาวต่างประเทศ
การเดินทาง
วัดม่วง ตั้งอยู่ที่บ้านหัวตะพาน หมู่ที่
๖ ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๗ ไร่ ๓๐ ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ ๗๘ เมตร
ติดต่อกับที่ดินนายสมพงษ์ เหลืองสีทอง ทิศใต้ยาว ๘๘ เมตร ติดต่อกับที่ดินของนาย
ซัน ตะโนรี และนายสมัคร ยิ้มผาสุก ทิศตะวันออกยาว ๑๓๖ เมตร ติดต่อกับที่ดิน นายสมพงษ์
เหลืองสีทอง ทิศตะวันตกยาว ๑๑๐ เมตร ติดต่อกับที่ดินของนางจรูญ ขจรศรี
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ มีถนนเข้าถึงวัด
อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มี ศาลาการเปรียญกว้าง สร้างด้วยไม้ หอสวดมนต์กว้าง ๑๐ เมตร
ยาว ๑๗ เมตร สร้างด้วยคอนกรีต กุฎิสงฆ์ จำนวน ๗ หลัง เป็นอาคารคอนกรีตและไม้
หลวงพ่อใหญ่
หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ เป็นผู้วางศิลาฤกษ์
ด้วยตัวของท่านเอง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2534
และต่อมา วันที่ 2 พฤษภาคม 2534
ได้ทำพิธีตอกลงเข็มเสาเอก หลวงพ่อเกษมเป็นประธานดำเนินการก่อสร้าง
ร่วมกับลูกศิษย์และ ประชาชนผู้มีใจบุญทั้งหลาย เข้ามาร่วมกันก่อสร้างองค์พระ
หลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า
"พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ"
พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่9
คณะลูกศิษย์หลวงพ่อเกษม ได้พร้อมใจรวมพลัง ช่วยกันสร้างร่วมกับ
ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาด้วย จนการก่อสร้างองค์พระ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 16
กุมภาพันธ์ 2550 มีระยะเวลาการก่อสร้างรวมประมาณ
16 ปี และวัดหน้าตักองค์พระได้ 63.05 เมตร
ความสูงจากฐานองค์พระ ถึงยอดเกศา วัดได้ 95 เมตร
ใช้เงินประมาณ 104,261,089.65 บาท
แดนนรก
หลวงพ่อเกษม ท่านได้สร้างแดนนรก
ตามพระไตรปิฎก ที่ระบุถึงเรื่อง การสร้างบุญกุศล ก็ได้รับบุญนั้น
และการสร้างแต่บาป ก็ต้องได้รับบาปตามสนองนั้น
หลวงพ่อเกษมจึงได้ให้ช่างปั้นรูปหุ่น เป็นรูปคนที่มีร่างกายสูงใหญ่
เสื้อผ้าไม่มีนุ่งห่ม มีทั้งเพศชาย เพศหญิง เรียกว่า เปรต นอกจากนั้น ยังมีรูปปั้น
ทั้งเพศชาย เพศหญิง ตกอยู่ในกระทะทองแดง ถูกทรมาน ปีนต้นไม้มีหน่ม
(เรียกว่าต้นงิ้ว) รูปปั้นร่างกายเป็นคน มีหน้าตาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
มีการถูกเฆี่ยนตี และทรมานทารุณ
หลวงพ่อเกษม ท่านต้องการ
ให้ผู้มาเที่ยวชมวัดม่วง ได้พิจารณา และนึกถึงหลักธรรม เพื่อให้เกิดสติ
พระพุทธเจ้าได้สั่งสอน ถึงการมีกตัญญู รู้คุณคน ไม่เบียดเบียนทั้งคน
และสัตว์ให้เกิดทุกข์ เกิดความละโมบ ลุ่มหลงอบายมุข กิเลสตัณหา
การไม่จบสิ้นของมนุษย์ เมื่อถึงการอวสานของตัวเอง (ตาย) ถ้าหากได้สร้างบุญไว้
ตายไปก็ได้รับบุญที่สร้างไว้ และสร้างแต่บาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข่มเหงรังแก
ใส่ร้ายป้ายสี มัวเมาอบายมุขต่างๆ ฉุดคร่าหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน ฯลฯ
ทุกสิ่งนั้นนั่นคือ นรก
วิหารแก้ววัดม่วง
หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ กับคุณป้าละม่อม
รัตนพราหมณ์ เป็นผู้มีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า ขอจองเป็นเจ้าภาพ สร้างวิหารแก้ว
และคณะของคุณอานนท์ สุวรรณปาล พร้อมด้วยคณะลูกศิษย์ของหลวงพ่อเกษม
วิหารแก้วก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 2
ชั้น ติดกระจกแก้วภายในและภายนอกทั้งหลัง ได้ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2540 ขนาดกว้าง 16
เมตร ยาว 50 เมตร สิ้นงบประมาณในการก่อสร้าง ประมาณ 25,497,789.00 บาท ภายในวิหารแก้ว หลวงพ่อเกษมได้เทหล่อทองเหลือง สร้างรูปเหมือน
พระเกจิอาจารย์ดังๆ ทั่วประเทศ จำนวน 50 องค์ ประดิษฐานรอบในวิหารแก้ว
การท่องเที่ยวแห่งการเรียนรู้
การได้เข้าวัดทำบุญ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ถือเป็นการนำสิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิตเพื่อสร้างบุญ
ทำให้จิตใจเข้มแข็งสามารถรับมือกับทุกปัญหาที่เข้ามาได้ในชีวิต
เพื่อเป็นการผ่อนคลายจิตใจ ปรับอารมณ์นำไปสู่ร่างกายที่แข็งแรงไร้โรคภัย
อีกทั้งได้เป็นการรับความรู้ใหม่ๆเข้ามาในชีวิตจากการที่ออกไปสู่สังคม
และเป็นการสร้างเสริมทักษะชีวิตและครบครัวให้แน่นขึ้นอีกด้วย
ได้รับการเรียนรู้จากการถ่ายทอดจากส่งที่พบเห็นเรื่องของศาสนาและกรรมเวรที่ได้สร้างขึ้น
หากใครสนใจเชิญมาเที่ยวที่วัดม่วงแห่งนี้แล้วท่านจะได้อะไรกลับบ้านอีกเยอะนอกจากรูปภาพที่ท่านเห็น