เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นวิธีการทางภาพทางการแพทย์ที่ใช้เทคนิคที่เรียกกันว่า
tomography ซึ่งเป็นการสร้างภาพแบบ 3 มิติ
คือมี กว้าง ยาว สูง จากชุดของภาพเอกซเรย์ที่ได้ใน 2 มิติ
แต่เดิมจะเรียกเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ว่า "electromagnetic
imaging (EMI) scan" และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น computed
axial tomography (CAT or CT scan) ข้อมูลภาพเอกซเรย์ที่ได้จะถูกสร้างให้มีลักษณะเป็นปริมาตร
ซึ่งสามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะในการนำเสนอเป็นภาพอวัยวะในมุมมองต่างๆ
ได้ตามต้องการ
ประโยชน์
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องทางรังสีวินิจฉัยที่มีประโยชน์ในการประเมินลักษณะทางกายวิภาคของอวัยวะต่างๆ
และในด้านการทำงานโดยร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี (สารประกอบไอโอดีน)
เพื่อดูการทำงานของเนื้อเยื่อในอวัยวะนั้นๆ และลักษณะของหลอดเลือด
ปัจจุบันเป็นการตรวจที่นิยมเนื่องจากใช้เวลาในการตรวจน้อย
แต่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามด้วยวิวัฒนาการทำให้สามารถแสดงภาพได้ในมุมมองต่างๆ และภาพ 3 มิติ
ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจที่นิยมส่งตรวจได้แก่ สมองศีรษะและลำคอทรวงอกและปอดตับช่องท้องทั้งหมด
ข้อด้อยคือภาพการตรวจกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งจะให้รายละเอียดได้ในระดับหนึ่ง
จึงแนะนำให้ผู้ป่วยตรวจด้วยเครื่องคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแทน
ประวัติ
ประวัติ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี
ชื่อ Alessandro Vallebona ได้รายงานการใช้เทคนิค tomography
ประมาณปีพ.ศ. 2475 แต่การพัฒนาเป็นไปอย่างช้าๆ
จนราว พ.ศ. 2514ซึ่งได้มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แล้ว
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญคือ Godfrey Newbold Hounsfield และ Allan
McLeod Cormack ร่วมกันพัฒนาเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จนผลิตออกมาเพื่อการค้าในประเทศอังกฤษ
และทั้งสองได้รับรางวัล Nobel ร่วมกันในสาขาการแพทย์ในปี
พ.ศ. 2522
แม่แบบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
แม่แบบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ได้สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 2514 โดยเป็นเครื่องที่มีตัวรับภาพ
160 จุด
และหลอดเอกซเรย์หมุนได้ 180 องศา ซึ่งในการสแกน 1 ครั้ง ต้องใช้เวลาประมาณ 5 นาที และใช้เวลาอีก 2.5 ชม.
ในการสร้างภาพบนมินิคอมพิวเตอร์
ต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับการตรวจสมอง
ซึ่งต้องใช้เวลาสแกนภาพละ 4 นาที และใช้เวลาในการสร่างภาพอีก 7 นาที นั่นคือต้องใช้ราว 11 นาทีต่อการสแกน 1 ภาพ
และต้องมีระบบถังน้ำที่หุ้มยางไว้ ซึ่งจะช่วยลดพลวัตของรังสีที่จะไปยังตัวรับภาพ
จึงจะได้ภาพที่ดี แต่กระนั้นภาพที่ได้ก็ยังมีรายละเอียดที่ต่ำอยู่ โดยเป็นภาพขนาด 80 x 80 pixels. ซึ่งเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกได้ติดตั้งที่
Atkinson
Morley Hospital เมือง Wimbledon ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ทำการสแกนผู้ป่วยรายแรกในปี พ.ศ.
2515
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดภาพตัดขวางพื้นฐาน
Conventional Axial CT scanner
หลอดเอกซเรย์ภายในเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะหมุนเป็นวงรอบผู้ป่วย
เพื่อให้ลำรังสีผ่านตัวผู้ป่วย 1 รอบต่อ 1 ภาพที่จะได้ โดยเตียงจะเลื่อนไปทีละตำแหน่ง
ภาพ
ที่ได้จะถูกนำมาสร้างเป็นภาพตัดขวางของอวัยวะได้ทีละภาพ
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบเกลียว
Helical or spiral CT
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบเกลียวได้ผลิตขึ้นในปี
2533 โดยติดหลอดเอกซเรย์และตัวรับภาพไว้บนแกนที่หมุนได้อย่างอิสระ
ระหว่างการสแกน เตียงจะเลื่อนไปอย่างเร็ว ทำให้การสแกนอวัยวะปกติใช้เวลาเพียง 20-60
วินาที ซึ่งมีข้อดีเพิ่มขึ้นคือ
1) ผู้ป่วยกลั้นใจได้ตลอดช่วงการสแกน ทำให้ลดการไหวของภาพได้
2) สามารถสแกนร่วมกับการฉีดสารทึบรังสีได้
3) ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มีรายละเอียดที่ดีขึ้น
และสามารถนำมาสร้างเป็น 3 มิติได้
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด Multislice
CT
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด Multislice
CT มีแนวคิดคล้ายกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดเกลียวแต่มีวงแหวนตัวรับภาพ
2 วง ซึ่งออกแบบครั้งแรกในปีพ.ศ. 2536โดยบริษัท
Elscint (Haifa) โดยเรียกชื่อว่า CT TWIN ปัจจุบันมีการผลิตออกมาในหลายรูปแบบตามจำนวนตัวรับภาพ โดยเรียกเป็น 4,
8, 16, 32, 40 และ 64 slice ซึ่งทำให้ความเร็วในการสแกนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
คือราว 3 วินาทีต่อการสแกน 1 รอบ
ซึ่งจะได้ภาพตามจำนวนของ slice และได้ภาพละเอียดสูงถึง 0.35
มม. ทำให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในการตรวจภาพของหลอดเลือด ภาพ 3 มิติ และมีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อใช้ในการปรับแต่งภาพใน
มุมมองต่างๆ
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ชนิด 2 แหล่งกำเนิด Dual-source CT
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด 2 แหล่งกำเนิดได้พัฒนาขึ้นโดยบริษัท
Siemens ซึ่งมีแหล่งกำเนิดเอกซเรย์ 2 หลอด
และมีตัวรับภาพ 64 แถว จำนวน 2 ชุด
ซึ่งได้ออกสู่ตลาดในปีพ.ศ. 2548 มีข้อคือลดมุมของการหมุนของหลอดเอกซเรย์
และได้ภาพที่มีรายละเอียดสูงขึ้น มีความเหมาะสมกับการตรวจหลอดเลือดหัวใจ
การตรวจแคลเซียม และอุปกรณ์เทียมที่ใส่ไว้ในร่างกาย เช่น โครงลวดถ่างขยายหลอดเลือด
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ชนิด 256+ slice CT
ในปีพ.ศ. 2550 บริษัทฟิลิปส์
ได้นำเสนอเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด 256 slice และบริษัทโตชิบาได้นำเสนอเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด
320 slices ความก้าวหน้าในทางเทคนิคกำลังมุ่งไปสู่การลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยจะได้รับ
และการได้ภาพที่มีรายละเอียดสูงสำหรับการตรวจหลอดเลือดและการตรวจการทำงานของสมอง อันตราย ปริมาณรังสี ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ขึ้นอยู่กับการขอบเขตการสแกนอวัยวะ
รูปร่างของผู้ป่วย จำนวนและความละเอียดในการตัด
ซี่งยังต้องแยกระหว่างการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในผู้ใหญ่และในเด็ก หากต้องพิจารณาในเชิงปริมาณรังสี
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ และคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ตารางเปรียบเทียบปริมาณรังสี
อันตราย
ปริมาณรังสี
ตารางเปรียบเทียบปริมาณรังสี
การตรวจ ปริมาณรังสี (mSv) (milli rem)
เอกซเรย์ปอด 0.1 10
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง 1.5 150
เอกซเรย์เต้านม 3 300
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง 5.3 530
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอด 5.8 580
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอดและช่องท้องทั้งหมด 9.9 990
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่เสมือน 3.6 - 8.8 360 - 880
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ 6.7-13 670 - 1300
การสวนแป้งลำไส้ใหญ่ 15 1500
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องในเด็ก 20 2000
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีน้อย Low-Dose CT Scan
การแพ้สารทึบรังสีในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์นั้นมักจะมีการฉีดสารทึบรังสีซึ่งเป็นสารประกอบไอโอดีนร่วมด้วย
เพื่อเปรียบเทียบเนื้อเยื่อก่อนและหลังการฉีด อย่างไรก็ตามจะมีผู้ป่วยบางรายที่สามารถแพ้สารทึบรังสี
ซึ่งป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนประเภทการตรวจ เช่นการตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเลือกใช้สารทึบรังสีกลุ่มไม่มีประจุ
ซึ่งจะมีอัตราการแพ้ที่น้อยกว่า รวมไปถึงการให้ยาแก้แพ้ล่วงหน้าก่อนการตรวจ ก็จะช่วยลดอาการแพ้สารทึบรังสีได้
กระนั้นผลอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยคือสารทึบรังสีจะขับออกทางไต ดังนั้นจึงมีผลต่อไตด้วย โดยในการฉีดสารทึบรัง
สีจะพิจารณาเฉพาะในผู้ป่วยที่มีค่าการทำงานของไตอยู่ในระดับดี (Cr<2)
ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง
ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์โพรงจมูก
ดิฉันคิดว่าเครื่งเอกซเรย์ด้านการทำงานโดยร่วมกับการฉีดสารทึบรังสี (สารประกอบไอโอดีน) เพื่อดูการทำงานของเนื้อเยื่อในอวัยวะนั้นๆ และลักษณะของหลอดเลือด ปัจจุบันเป็นการตรวจที่นิยมเนื่องจากใช้เวลาในการตรวจน้อย แต่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามด้วยวิวัฒนาการทำให้สามารถแสดงภาพได้ในมุมมองต่างๆ และภาพ 3 มิติ ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจที่นิยมส่งตรวจได้แก่ สมองศีรษะและลำคอทรวงอกและปอดตับช่องท้องทั้งหมด
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||
|